มาชม พระพิมพ์ ตรีกายของหลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน กันครับ
พระรุ่นนี้หลวงพ่อท่านตั้งใจสร้าง สร้างประมาณปี 2508 หรือใกล้เคียง ครับใครมี พศ ที่แน่นอนแนะนำได้ครับ
ด้านหลัง
ปณฑิโตภิก :เป็นเอกลักษณ์ ที่บอกว่าเป็นของหลวงพ่อเกิดครับ
เพื่อร่วมแชร์ พระเครื่องของหลวงพ่อบุญเกิด ที่ผมสะสมไว้ให้เพื่อนๆ ที่ศัทธาในหลวงพ่อเกิด ได้ชมและแลกเปลี่ยนกันได้ถ้าสนใจ email มาได้ที่ mkrutphun@gmail.com โต้ง
Friday, June 15, 2012
Friday, March 16, 2012
หลวงพ่อบุญเกิด วัดเขาดิน กับ อิริยาบท ฉันท์เช้า
หลวงพ่อบุญเกิด วัดเขาดิน กับ อิริยาบท ฉันท์เช้า ที่หลาย ๆ ท่านไม่ค่อยเห็น
โดยส่วนใหญ่ท่านจะไม่รับกิจนิมนต์ เท่าไร และ ไม่ได้ออกไปปรก ปลุกเสกพระที่ไหน หลาย ท่านจึงไม่ค่อยได้เห็นหลวงพ่อให้อิริยาบท อื่น ๆ และ ถ้าอยากไปกราบท่านที่วัด ก็ต้องไปแต่เช้า ๆ นะครับ และ ไปกุฏิหลวงพ่อจะอยู่ติดกับอุโบสถ ครับ เดินไปก็ทำใจนิ่ง ๆ ไว้นะครับ เพราะ ลูกหลวงพ่อเยอะ แต่ไม่ต้องกลัวครับด้วยบารมีหลวงพ่อ "มาดี มาดี" เท่านั้นครับทุกตัวเงียบหมด ครับ เดี๋ยวไว้คุยกันไหมนะครับ
Sunday, March 11, 2012
ประวัติ หลวงพ่อบุญเกิด หรือ หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน จ.ชัยนาท
ประวัติ หลวงพ่อบุญเกิด หรือ หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน จ.ชัยนาท
ในอดีตย้อนไปซัก 40-50 ปีในแถบหนองมะโมงนี้ค่อนข้างจะทุรกันดาร หรือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ไกลปืนเที่ยง ด้วยสภาพพื้นที่ที่ชุกชุมไปด้วยชุมโจรปล้นวัวปล้นควายประกอบกับเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ไกลหมอ ไกลเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นที่พึ่งในยามตกทุกข์ได้ยากของคนทุกชนทุกชั้นในละแวกนั้นไม่ว่าจะเรื่องเจ็บป่วย ผีเข้าเจ้าสิง ถูกกระทำย่ำยี ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล วัวหายควายพลัด มีเหตุลักขโมย ถูกประทุษร้าย และอีกหลากหลายปัญหานานับประการ ที่ชาวบ้านต้องการที่อาศัยพึ่งพิง ผิสำคัญบุคคลผู้นั้นมิใช่อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ หรือผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มาจากไหน แต่กลับเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีปฏิปทาเคร่งครัดน่าเลื่อมใสและมีวิทยาบารมี พอเป็นที่ผ่อนปรนบรรเทาทุกข์โศกสงเคราะห์สังคมโลกให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ ภิกษุรูปนั้นชาวบ้านคุ้นปากกันในนาม “หลวงพ่อเกิด”
หลวงพ่อเกิด หรือพระครูอุดมชัยกิจ เจ้าอาวาสวัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท นามเดิม บุญเกิด จันทรา เป็นบุตรของนายกรม จันทรา นางสี จันทรา เกิดเมื่อวันที่ ๔ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ณ บ้านเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท อุปสมบทเมื่อ วันที่ ๕ ธ.ค. พ.ศ.๒๔๙๕ ณ พัทธสีมาวัดเขาดิน โดยมีพระครูสิงหชัยสิทธิ์(ฉะอ้อน) วัดพาณิชย์ ต.วัดสิงห์ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสมทบ วัดศรีสโมสร ต.กุดจอก อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการบรรจง วัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ปัณฑิโตภิกขุ” หมายถึง “ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญาฉลาดรอบรู้”
ในปี 2495 หลังจากอุปสมบทแล้วได้จำพรรษาฉลองศรัทธาโยมบิดา โยมมารดา ณ วัดเขาดิน ประจวบเหมาะกับในปีนั้นนั่นเองท่านเจ้าขุนวาปินทร์ (หรือเจ้าขุนเล็กแห่งบ้านหนองขุ่น)ศิษย์ฆราวาสก้นกุฏิรุ่นอาวุโสของหลวงปู่ศุขอีกท่านหนึ่ง ได้ถือเอาฤกษ์วัน 5 เดือน 5 ขึ้น 5 ค่ำจัดเป็นพิธีไหว้ครูเสาร์ 5 ขึ้น นับว่าเป็นพิธีไหว้ครูครั้งยิ่งใหญ่กว่าพิธีไหว้ครูครั้งอื่นๆ ในงานไหว้ครูครั้งนี้เจ้าขุนวาปินทร์ได้เปิดโอกาสถ่ายทอดและประสิทธิ์ประสาทเวทวิทยาอาคมให้แก่เหล่าศิษย์ด้วยตัวท่านเอง ใครสนใจในด้านใดก็เลือกเรียนเอาตามวาสนาบารมีและจะต้องทำให้เห็นผลในวันนั้น มีทั้งวิชาเสกหุ่นชกกัน เสกข้าวสารให้เป็นกุ้ง เสกเป่าผงให้เป็นนะปัดตลอด สารพัดวิชาที่เจ้าขุนท่านทำสำเร็จชำนาญแล้ว ส่วนหลวงพ่อท่านเห็นว่าเรียนวิชาที่สามารถช่วยผู้อื่นได้จะเป็นประโยชน์กว่าท่านจึงเลือกเรียนวิชาแก้วิชาถอนวิชาป้องกันรักษา และถือได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวในวันนั้นที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาเฑาะว์มหาวิเศษ และวิชาแก้พิษหมาบ้าจากท่านเจ้าขุนโดยตรง
ในปี 2496 ท่านจึงไปศึกษาพระปริยัติธรรมและกรรมฐานเบื้องต้นในสำนักวัดสิงห์ในสมัยที่พระครูฉะอ้อนองค์อุปัฌชาย์เป็นเจ้าสำนัก พระครูฉะอ้อนท่านนี้เป็นเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดกับองค์หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคคลองมะขามเฒ่าและพระครูฉะอ้อนท่านนี้แหละที่เป็นแม่งานใหญ่ในการจัดการงานศพหลวงปู่ศุข ด้วยความใกล้ชิดทั้งพระครูฉะอ้อนและอาจารย์ฆราวาสอีกหลายท่านที่เป็นศิษย์สายตรงในองค์หลวงปู่ศุข ประกอบกับความใฝ่รู้ หลวงพ่อท่านจึงได้ซึมซับศึกษาสรรพวิทยาการในสายหลวงปู่มาพอสมควร ทั้งวิชาปรอท จากหมอยาเฒ่า วิชาเสกขี้ผึ้ง อาจารย์ของท่านเสกขี้ผึ้งบนมือให้เป็นน้ำได้อย่างอัศจรรย์ ท่านจึงได้เรียนรู้หลักในการใช้ธาตุ ตั้งธาตุต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสรรพวิชาและเคล็ดคาถาอีกบางบท ที่ท่านได้ตั้งแต่ในพรรษาต้นๆ อย่างเช่นการทดลองวิชาหายตัว โดยเขียนอักขระลงบาตรแล้วบริกรรม ปรากฏว่าเช้าวันนั้นชาวบ้านใส่บาตรข้ามท่านไปหมด สร้างความประหลาดใจแก่หมู่เพื่อนภิกษุที่ร่วมออกภิกขาจาร
ในอดีตย้อนไปซัก 40-50 ปีในแถบหนองมะโมงนี้ค่อนข้างจะทุรกันดาร หรือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ไกลปืนเที่ยง ด้วยสภาพพื้นที่ที่ชุกชุมไปด้วยชุมโจรปล้นวัวปล้นควายประกอบกับเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ไกลหมอ ไกลเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นที่พึ่งในยามตกทุกข์ได้ยากของคนทุกชนทุกชั้นในละแวกนั้นไม่ว่าจะเรื่องเจ็บป่วย ผีเข้าเจ้าสิง ถูกกระทำย่ำยี ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล วัวหายควายพลัด มีเหตุลักขโมย ถูกประทุษร้าย และอีกหลากหลายปัญหานานับประการ ที่ชาวบ้านต้องการที่อาศัยพึ่งพิง ผิสำคัญบุคคลผู้นั้นมิใช่อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ หรือผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มาจากไหน แต่กลับเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีปฏิปทาเคร่งครัดน่าเลื่อมใสและมีวิทยาบารมี พอเป็นที่ผ่อนปรนบรรเทาทุกข์โศกสงเคราะห์สังคมโลกให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ ภิกษุรูปนั้นชาวบ้านคุ้นปากกันในนาม “หลวงพ่อเกิด”
หลวงพ่อเกิด หรือพระครูอุดมชัยกิจ เจ้าอาวาสวัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท นามเดิม บุญเกิด จันทรา เป็นบุตรของนายกรม จันทรา นางสี จันทรา เกิดเมื่อวันที่ ๔ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ณ บ้านเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท อุปสมบทเมื่อ วันที่ ๕ ธ.ค. พ.ศ.๒๔๙๕ ณ พัทธสีมาวัดเขาดิน โดยมีพระครูสิงหชัยสิทธิ์(ฉะอ้อน) วัดพาณิชย์ ต.วัดสิงห์ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสมทบ วัดศรีสโมสร ต.กุดจอก อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการบรรจง วัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ปัณฑิโตภิกขุ” หมายถึง “ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญาฉลาดรอบรู้”
ในปี 2495 หลังจากอุปสมบทแล้วได้จำพรรษาฉลองศรัทธาโยมบิดา โยมมารดา ณ วัดเขาดิน ประจวบเหมาะกับในปีนั้นนั่นเองท่านเจ้าขุนวาปินทร์ (หรือเจ้าขุนเล็กแห่งบ้านหนองขุ่น)ศิษย์ฆราวาสก้นกุฏิรุ่นอาวุโสของหลวงปู่ศุขอีกท่านหนึ่ง ได้ถือเอาฤกษ์วัน 5 เดือน 5 ขึ้น 5 ค่ำจัดเป็นพิธีไหว้ครูเสาร์ 5 ขึ้น นับว่าเป็นพิธีไหว้ครูครั้งยิ่งใหญ่กว่าพิธีไหว้ครูครั้งอื่นๆ ในงานไหว้ครูครั้งนี้เจ้าขุนวาปินทร์ได้เปิดโอกาสถ่ายทอดและประสิทธิ์ประสาทเวทวิทยาอาคมให้แก่เหล่าศิษย์ด้วยตัวท่านเอง ใครสนใจในด้านใดก็เลือกเรียนเอาตามวาสนาบารมีและจะต้องทำให้เห็นผลในวันนั้น มีทั้งวิชาเสกหุ่นชกกัน เสกข้าวสารให้เป็นกุ้ง เสกเป่าผงให้เป็นนะปัดตลอด สารพัดวิชาที่เจ้าขุนท่านทำสำเร็จชำนาญแล้ว ส่วนหลวงพ่อท่านเห็นว่าเรียนวิชาที่สามารถช่วยผู้อื่นได้จะเป็นประโยชน์กว่าท่านจึงเลือกเรียนวิชาแก้วิชาถอนวิชาป้องกันรักษา และถือได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวในวันนั้นที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาเฑาะว์มหาวิเศษ และวิชาแก้พิษหมาบ้าจากท่านเจ้าขุนโดยตรง
ในปี 2496 ท่านจึงไปศึกษาพระปริยัติธรรมและกรรมฐานเบื้องต้นในสำนักวัดสิงห์ในสมัยที่พระครูฉะอ้อนองค์อุปัฌชาย์เป็นเจ้าสำนัก พระครูฉะอ้อนท่านนี้เป็นเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดกับองค์หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคคลองมะขามเฒ่าและพระครูฉะอ้อนท่านนี้แหละที่เป็นแม่งานใหญ่ในการจัดการงานศพหลวงปู่ศุข ด้วยความใกล้ชิดทั้งพระครูฉะอ้อนและอาจารย์ฆราวาสอีกหลายท่านที่เป็นศิษย์สายตรงในองค์หลวงปู่ศุข ประกอบกับความใฝ่รู้ หลวงพ่อท่านจึงได้ซึมซับศึกษาสรรพวิทยาการในสายหลวงปู่มาพอสมควร ทั้งวิชาปรอท จากหมอยาเฒ่า วิชาเสกขี้ผึ้ง อาจารย์ของท่านเสกขี้ผึ้งบนมือให้เป็นน้ำได้อย่างอัศจรรย์ ท่านจึงได้เรียนรู้หลักในการใช้ธาตุ ตั้งธาตุต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสรรพวิชาและเคล็ดคาถาอีกบางบท ที่ท่านได้ตั้งแต่ในพรรษาต้นๆ อย่างเช่นการทดลองวิชาหายตัว โดยเขียนอักขระลงบาตรแล้วบริกรรม ปรากฏว่าเช้าวันนั้นชาวบ้านใส่บาตรข้ามท่านไปหมด สร้างความประหลาดใจแก่หมู่เพื่อนภิกษุที่ร่วมออกภิกขาจาร
- ปี 2497 ได้ไปศึกษาวิชา 12 ภาษากับ อ.เฉลิม คราวเดียวกันกับหลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู จ.นครสวรรค์ วิชา 12 ภาษานี้เป็นวิชานี้ว่ากันว่าผู้ทำสำเร็จจะสามารถทำสมาธิจิตให้ไปสัมผัสกับภพภูมิจิตในระดับต่างๆทั้ง 31 ภูมิได้ แม้ในภูมิมนุษย์เองก็สามารถฟังและสื่อสารกับภาษาอื่นๆได้ตามใจปารถนา
- ปี 2498 ได้พบกับ อาจารย์ชื้นศิษย์ฆราวาสคนสำคัญอีกท่านหนึ่งที่สืบสานกรรมฐานสายหลวงพ่อเขาสาลิกา ภายหลังได้บวชและรู้จักกันในนามหลวงพ่อชื้น วัดเขาพลอง หลวงพ่อเกิดได้ศึกษากับท่านอาจารย์ชื้นตั้งแต่อาจารย์ชื้นยังดำรงเพศเป็นฆราวาส และอาจารย์ชื้นท่านนี้เองเป็นผู้เชื้อเชิญให้ท่านได้ไปนมัสการหลวงพ่อเขาสาลิกาที่สำนักเขาสาลิกาท่านเล่าว่าหลวงพ่อเขาสาลิกาท่านไม่พูด ท่านจุดเทียนตั้งไว้ 6 เล่มแล้วใช้มือดับทีละเล่มจนเหลือเทียนเล่มเดียวท่านจึงหยิบเทียนเล่มนั้นขึ้นมานั่งเพ่งเท่านั้น ท่านว่าเป็นปริศนาธรรมเกี่ยวกับการสอนเรื่องอายตนะ ผัสสะ การแยกรูป –นาม แยกกองกรรมฐานจนถึงขั้นกายละเอียด
- ปี 2499– 2500 ออกจาริกธุดงค์ปลีกวิเวกกระทำความเพียรทางจิต ขึ้นไปทางนครสวรรค์โดยมุ่งหน้าไปทางเหนือ
- ปี 2501-2506 กลับมาเยี่ยมโยมบิดามารดาและออกธุดงค์ต่อจนกระทั่งกลับมาพบสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติและมีนิมิตมหัศจรรย์ให้ต้องจำพรรษาและถือได้ว่าเป็นภิกษุรูปแรกที่เปิดถ้ำเขาตะพาบ จ.อุทัยธานีในถ้ำแห่งนี้หลวงพ่อพบกับความมหัศจรรย์ในโลกวิญญาณมากมายโดยเฉพาะเรื่องพระธาตุ ในระหว่างนั้นท่านได้ไปเชิญพระธาตุที่เขาบางแกรกและได้พบกับ หลวงพ่อปะขาวหายพระผู้ทรงอภิญญาอีกรูปหนึ่งที่ชาวบ้านในละแวกนั้นพบเห็นมาช้านาน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน รุ่งเช้าท่านก็มาปรากฏในรูปของพระภิกษุห่มผ้าสีกรักบ้าง บางคราวก็นุ่งขาวห่มขาวแบบชีปะขาวบ้าง ชาวบ้านแปลกใจจึงได้พยามสะกดรอยตามพอถึงริมลำน้ำชาวบ้านก็แอบดูปรากฎว่าเผลอแผลบเดียวหลวงพ่อท่านข้ามไปฝั่งโน้นได้ในพริบตาชาวบ้านจึงเรียกกันว่าหลวงพ่อชีปะขาวหาย
- ปี 2507 ชาวบ้านและบรรดาญาติโยมจึงได้ร่วมใจนิมนต์ท่านมาจำพรรษา ณ วัดเขาดินท่านจึงได้ทำการปกครองวัดเขาดินตั้งแต่นั้นสืบมาจนถึงปัจจุบันและนับได้ว่าเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกที่ดำรงตำแหน่งได้นานที่สุด เนื่องจากก่อนหน้านั้นเจ้าอาวาสแต่ละรูปล้วนมีเหตุให้สึกหาลาเพศไปด้วยเหตุต่างๆ ว่ากันว่าเจ้าเขาแห่งนี้แรงนักแต่ท่านก็แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าท่านสามารถปกครองได้ทั้งรูป-นาม จนกระทั่งก่อให้เกิดความเจริญตราบเท่าปัจจุบัน
- อื่น
- ท่านเป็นพระนักพัฒนาตัวอย่าง เมื่อสมัยก่อน ชาวบ้านเดือนร้อนเรื่องปัญหาการ สีข้าว ท่านจึงได้สร้างโรงสีข้าวชุมชนขึ้นมา ให้ชาวบ้านได้มาใช้บริการที่นี่ เป็นโรงสีใหญ่นะครับไม่ใช่เล็ก แต่ตอนนี้ได้กลายเป็น ศาลาอเนกประสงค์ไปแล้ว
- และท่านก็สร้างโรงลิเกด้วยนะครับ
- ยังสร้างห้องอบสมุนไพรด้วย
- สรุปหลวงพ่อท่านสร้างแต่เรื่องดี และ ทำเพื่อชาวบ้านทั้งนั้น
Subscribe to:
Comments (Atom)


